ข่าวฟุตบอล

ไขข้อสงสัย : ทำไม เบอร์ลิน เป็นเมืองหลวงเยอรมัน แต่ไม่มีบิ๊กทีม?

ในโลกฟุตบอล เมืองหลวงมักจะเป็นเวทีที่แสงไฟสปอร์ตไลต์ส่องแรงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นมาดริดที่มีเรอัลกับแอตเลติโก้ ลอนดอนที่อัดแน่นด้วยบิ๊กทีมระดับพรีเมียร์ลีก หรือโรมที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของลาซิโอและโรม่า เมืองเหล่านี้ล้วนมี “สโมสรยักษ์ใหญ่” ที่ไม่เพียงสะท้อนอัตลักษณ์ของเมือง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจในลีกของตัวเอง แต่สำหรับเยอรมนี เรื่องราวกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง... แม้เบอร์ลินจะเป็นเมืองหลวงและหัวใจของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม แต่บนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอล เมืองนี้กลับไม่เคยมีทีมใดที่ก้าวขึ้นไปยืนในจุดสูงสุด ไม่มีสโมสรที่ครองความสำเร็จระดับประเทศ และไม่เคยสร้าง “ยักษ์ใหญ่” ขึ้นมาเหมือนเมืองหลวงอื่นของยุโรป คำถามคือ…อะไรที่ทำให้เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมนี กลับเล็กเหลือเกินบนแผนที่ลูกหนัง? แม้เบอร์ลินจะเป็นเมืองหลวงและหัวใจของการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม แต่บนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอล เมืองนี้กลับไม่เคยมีทีมใดที่ก้าวขึ้นไปยืนในจุดสูงสุด ไม่มีสโมสรที่ครองความสำเร็จระดับประเทศ และไม่เคยสร้าง “ยักษ์ใหญ่” ขึ้นมาเหมือนเมืองหลวงอื่นของยุโรป คำถามคือ…อะไรที่ทำให้เมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเยอรมนี กลับเล็กเหลือเกินบนแผนที่ลูกหนัง?

Vuonghan Nguyen

จากดีเจสู่ดีลหมื่นล้าน: ใครคือ บรู๊กลิน เอริก ชายผู้ถูกโยงกับการยื่นเทคโอเวอร์ สเปอร์ส

เมื่อชื่อของ บรู๊กลิน เอริก โผล่ขึ้นมาในข่าววงการฟุตบอล หลายคนคงตั้งคำถามทันทีว่า “เขาเป็นใคร?” เพราะเขาไม่ได้มาจากตระกูลนักธุรกิจน้ำมันจากตะวันออกกลาง ไม่ใช่มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์จากจีน และก็ไม่ใช่นักลงทุนสายกองทุนสถาบันจากสหรัฐฯ ที่เราคุ้นเคย แต่กลับเป็นชายวัย 41 ปี ที่ชีวิตเริ่มต้นจากการเป็น “ดีเจ” ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปฝึกงานที่ NASA แล้วต่อยอดสู่การเป็นผู้ประกอบการเทคโนโลยี เคยเกือบปิดดีลซื้อทีม Maserati Formula E มาแล้วด้วย และวันนี้ เขากลายมาเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในฐานะผู้ที่พยายามยื่นข้อเสนอระดับ 4.5 พันล้านปอนด์ เพื่อซื้อกิจการ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์

Nopphasin Kulabburi

เอล ดาร์บี้ มาดริด: จากความเหลื่อมล้ำ สู่การต่อสู้ระหว่างชนชั้น และความเกลียดชังที่ฝังรากมายาวนาน

“เราต้องการคู่แข่งที่คู่ควรกับดาร์บี้นี้” แบนเนอร์ผืนใหญ่ที่กองเชียร์เรอัล มาดริด ชูขึ้นในเกมเปิดบ้านรับแอตเลติโก มาดริด เมื่อปี 2011 คือข้อความที่สะท้อนสถานะในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะเวลานั้น “ตราหมี” กำลังอยู่ในช่วงที่ถูกกดหัวอย่างยาวนาน แพ้รวดในศึกดาร์บี้ถึง 25 นัด ติดต่อกันนานกว่า 13 ปี แม้จะออกนำก่อนในคืนนั้น แต่การโดนไล่ผู้รักษาประตู (ธิโบต์ กูร์กตัวส์ ที่ยืมมาจากเชลซี) ทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์ 4-1 … อีกหนึ่งคืนที่ความพ่ายแพ้กลายเป็นความเคยชิน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในนัดชิง โกปา เดล เรย์ 2013 ที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อแอตเลติโกในยุคของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ล้มยักษ์ได้สำเร็จ 2-1 ในช่วงต่อเวลา และยิ่งเจ็บแสบเข้าไปอีก เมื่อ “กาบี้” กัปตันทีมตราหมี ได้รับถ้วยแชมป์ต่อหน้าสายตา กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ผู้ซึ่งเป็นแฟนราชันโดยกำเนิด จากวันนั้น สถานะดาร์บี้เปลี่ยนไปทันที 43 เกมหลังจากนั้น แทบจะสูสีทุกระเบียดนิ้ว (มาดริดชนะ 16, เสมอ 15, แอตเลติโกชนะ 12) และหลายครั้งที่กลายเป็นศึกเดือดตัดสินในเวทียุโรป

Nopphasin Kulabburi