ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่ในลาลีกา สเปน ได้จัดการประชุมกับผู้ถือหุ้นของสโมสรเพื่ออัพเดทสภาพทางการเงินของสโมสร โดยเขาได้ประกาศว่าสโมสรทำกำไรเข้าสโมสรไป 11 ล้านปอนด์ (ราว 460 ล้านบาท) จากสภาพการเงินของฤดูกาลที่แล้ว แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ก็ตาม
โดยคำแถลงที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ทางการของเรอัล มาดริด ได้เปิดเผยมูลค่าสุทธิของสโมสรในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 473 ล้านปอนด์ (ราว 21,000 ล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นปีที่สามติดต่อกัน และเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีมูลค่าสุทธิอยู่ 463 ล้านปอนด์ (ราว 19,000 ล้านบาท)
คำแถลงระบุอีกว่า รายได้จากการดำเนินงานของมาดริดในฤดูกาลที่แล้ว เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับฤดูกาล 2020/21 โดยเพิ่มขึ้นจาก 566 ล้านปอนด์ (ราว 24,000 ล้านบาท) เป็น 626 ล้านปอนด์ (ราว 26,500 ล้านบาท)
เรอัล มาดริด ยังทำกำไรจากการซื้อขายนักเตะ ในช่วงตลาดซื้อขายหน้าร้อนที่ผ่านมาอีกจำนวน 8 ล้านปอนด์ (ราว 340 ล้านบาท)
โดยกำไรนั้นเป็นผลมาจากการขายผู้เล่นตัวหลักอย่าง คาเซมิโร กองกลางชาวบราซิล ในราคา 63 ล้านปอนด์ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นราคาการขายนักเตะของเรอัล มาดริด ที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 เป็นรองแค่ อังเคล ดิ มาเรีย ที่ย้ายไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2014 ด้วยราคา 65 ล้านปอนด์ และ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ย้ายไปยูเวนตุล ในปี 2018 ด้วยราคา 101 ล้านปอนด์
เปเรซ จึงกล่าวว่าสโมสรอยู่ในสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บาร์เซโลน่า ที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน จากการที่พวกเขามีเพดานค่าเหนื่อยเกินกว่าขอบเขตที่ ลาลีกา กำหนดเอาไว้ ซึ่งเพดานค่าเหนื่อยของแต่ละทีมจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพการเงินของแต่ละทีมในช่วงเวลานั้น จนพวกเขาต้องเปิดใช้มาตรการหลายอย่าง เพื่อแก้ปัญหาด้านการเงินของสโมสร