สำหรับทีมในลีกล่าง การได้นักเตะระดับโลกมาร่วมทีม คือความหวังครั้งใหญ่ ที่จะให้เขาเหล่านั้น นำประสบการณ์ช่วยทีมให้พ้นจากความยากลำบาก
เช่นกันกับ เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ในช่วงท้ายของชีวิตนักเตะอาชีพ เมื่อเขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม บาร์เน็ต ในลีกทู หรือลีกระดับดิวิชั่น 4 ของอังกฤษ
อย่างไรก็ดี ความหวังนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นหายนะด้วยน้ำมือของเขาเอง เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น? ติดตามไปพร้อมกัน
แข้งเวิลด์คลาสในลีกทู
ย้อนกลับไปในปี 2010 คริสตัล พาเลซ ที่ตอนนั้นเล่นอยู่ใน เดอะ แชมเปียนชิพ ได้สร้างความฮือฮา ด้วยการดึงตัว เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ที่แขวนสตั๊ดไปเมื่อ 2 ปีก่อน กลับมาสวมสตั๊ดลงสนามอีกครั้ง
แต่การมาเล่นที่ พาเลซ ของ ดาวิดส์ ครั้งนี้ นั้นไม่น่าประทับใจ เพราะการเลิกเล่นไป 2 ปี ทำให้ร่างกายเขาเชื่องช้าลงไปมาก อีกทั้งยังถูกจับไปเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย ที่ทำให้เขาโชว์ฟอร์มไม่ออก ก่อนที่สุดท้ายจะลงเอยด้วยการยกเลิกสัญญา หลังผ่านไปเพียงแค่ 2 เดือน
แต่ถึงอย่างนั้น ชื่อชั้นของ ดาวิดส์ ก็ยังหอมหวาน โดยเฉพาะสำหรับทีมในลีกล่าง ทำให้ในปี 2012 บาร์เน็ต ที่ตอนนั้นอยู่ในลีกทู ได้ลองติดต่ออดีตมิดฟิลด์ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ หวังให้เขามาช่วยกู้วิกฤติ
เนื่องจากตอนนั้น บาร์เน็ต มีสถานะที่ง่อนแง่น พวกเขาเพิ่งจะรอดตกชั้นไปเล่นนอกลีกอย่างเฉียดฉิวเมื่อฤดูกาลก่อน แถมยังออกสตาร์ทได้อย่างย่ำแย่ในซีซั่น 2012-2013 ด้วยการไร้ชัย 13 เกมติด จนหล่นลงมาท้ายตาราง
ดาวิดส์ ใช้เวลาคิดไม่นานก็ตกปากรับคำ เพราะตำแหน่งที่สโมสรจากลีกรองเสนอให้คือผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ที่เขาจะได้คุมทีมคู่กับ มาร์ค ร็อบสัน กุนซือเดิมของบาร์เน็ต
ลุ้นโบนัส 150% สมาชิกใหม่รับ 11,240 บาท เมื่อเริ่มทายผล คลิกที่นี่
ในช่วงทศวรรษที่ 2010s ผู้จัดการทีมร่วมเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม เพราะได้เป็นเพื่อนคู่คิดกัน แต่การที่ 2 กุนซือที่มีภูมิหลังที่ต่างกันสุดขั้ว ก็อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในสถานการณ์เช่นนี้
“เราจะขัดแย้งกัน มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน มันกำลังจะเกิดขั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งที่เราจะได้รับจากมัน เราจะเติบโตจากสิ่งเหล่านี้” ดาวิดส์ กล่าวกับ BBC London
มันเริ่มต้นด้วยความหวัง เพราะแม้นัดแรกที่ ดาวิดส์ เริ่มต้นด้วยการเป็นกุนซือร่วมจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ต่อ พลีมัธ 1-4 แต่เกมต่อมา พวกเขาก็คว้าชัยเกมแรกของฤดูกาล ด้วยการถล่ม นอร์ทแธมป์ตัน 4-0
เกมดังกล่าว ดาวิดส์ ลงเล่นครบ 90 นาที ในตำแหน่งกองกลางตัวรับ ที่ทำให้เขาเฉิดฉายเต็มที่ ทั้งการสกัด และการจ่ายบอล จนทำให้เราได้รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดนั้นไปครอง

หลังจากนั้น บาร์เน็ต ก็เก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถรักษาคลีนชีทได้ 4 เกมติด ไม่เหลือคราบทีมจอมแพ้ เมื่อต้นฤดูกาลอีกแล้ว
ทว่า ช่วงฮันนีมูน ก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน เพราะหลังจากแพ้ มอเรมคัมบี 4-1 ในเกมนัด พวกเขาก็กลับสู่โลกความจริง เมื่อพวกเขาไม่สามารถรักษาความสม่ำเสมอได้เลย และในที่สุด ซ้ำร้ายในช่วงท้ายปี ร็อบสัน ก็มาถอนตัวออกไป
การคุมทีมคนเดียวในครึ่งฤดุกาลที่เหลือ กลายเป็นงานหนักสำหรับ ดาวิดส์ แน่นอนทีมมีผลงานที่ดีขึ้น นับตั้งแต่กองกลางชาวดัตช์เข้ามา แต่ปัญหาเดิมก็ยังคงอยู่ สุดท้ายที่ก็ร่วงตกชั้น หลังจบในอันดับ 23 ของตาราง หลังมีแต้มเท่ากับอันดับ 22 แต่ประตูได้เสียน้อยกว่า
ก่อนที่มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตำนานกลายเป็นผู้ร้าย
หายนะจากน้ำมือตัวเอง
แม้ว่า บาร์เน็ต จะตกลงไปเล่นในลีกคอนเฟอเรนซ์ แต่ ดาวิดส์ ก็ยังอยู่กับทีม เพราะนี่จะเป็นการคุมทีมแบบเต็มตัวคนเดียวของเขา
จริงอยู่ที่ทีมต้องลงเอยด้วยการตกชั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บาร์เน็ต มีพัฒนาการที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ ดาวิดส์ เข้ามา แถมเมื่อคำนวนคะแนนต่อเกมของเขายังพบว่า หากเขาเข้ามาคุมทีมตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทีมจะจบในอันดับกลางตารางด้วยซ้ำ
“เขาเริ่มปฏิวัติฟุตบอลที่นี่ และเราหวังว่าเขาจะรักษาสไตล์การเล่นที่หน้าดึงดูด ที่เราพัฒนาขึ้นมาภายใต้การคุมทีมของเขาในฟุตบอลลีก” โทนี คลีนเธาส์ ประธานสโมสรกล่าวอย่างมีความหวัง
“มันเป็นเครื่องชี้วัดว่าเขาอยากจะอยู่ต่อเพื่อจบงานที่เริ่มไว้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นบี ก็จะเป็นบีตลอดไป”
แต่ ดาวิดส์ ก็ไม่ได้ลบสถานะผู้เล่นของตัวเอง เขายังลงทะเบียนในฐานะนักเตะของทีม พร้อมกับสวมเสื้อหมายเลข 1 ที่ควรจะเป็นของผู้รักษาประตู แต่ก็ยืนยันว่าจะไม่ส่งตัวเองลงเล่นโดยไม่จำเป็น และจะไม่ไปค้างคืนร่วมกับผู้เล่นในคืนก่อนแข่งทีมเยือน

บาร์เน็ต เริ่มต้นในคอนเฟอเรนซ์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการชนะ 4 เสมอ 2 จาก 6 นัดแรก ตอกย้ำโอกาสในการกลับไปเล่นในลีกทูได้ทันที
อย่างไรก็ดี นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของพวกเขา เพราะหลังจากนั้น บาร์เน็ต ก็กลายเป็นหนังม้วนเดิม พวกเขาไม่รู้จักกับชัยชนะเลยในอีก 4 เกมหลังจากนั้น จนทำให้ ดาวิดส์ ต้องเปลี่ยนชุดแข่งลงสนามเอง
แต่การมาของ ดาวิดส์ นอกจากจะไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว มันยิ่งกลับแย่ลง เมื่อเขายังคงเล่นด้วยสไตล์ที่ดุดัน เตะแหลกไม่สนใคร จนได้ใบเหลืองไปถึง 5 ใบ และใบแดงอีก 3 ใบ จากการลงเล่นแค่ 8 เกม
นอกจากนี้ เขายังเป็นนักเตะที่ทำสถิติได้ใบแดง 2 เกมติด เริ่มจากนัดที่ 22 กับ ดาร์ทฟอร์ต เมื่อ ดาวิดส์ ได้ใบเหลืองใบที่ 2 ในนาทีที่ 83 และหลังจากใช้โทษแบน และไม่ส่งตัวเองลงสนามใน 2 เกมต่อมา มิดฟิลด์ชาวดัตช์ ก็มาโดนสองเหลืองอีกครั้งในนัดที่ 26 ที่พบกับ ซาลิสบิวรี

“ผมคิดว่าผมรู้ชัดแล้วว่าลีกล็อคเป้ากับ บาร์เน็ต” ดาวิดส์ กล่าวหลังถูกไล่ออก
“ผมไม่รู้ว่าเราเล่นไปกี่เกมแล้ว แต่มันมีการตัดสินใจแปลกๆ ตลอด มันไร้สาระมาก ผมคิดว่าผมคงจะไม่เล่นต่ออีกแล้ว”
การเล่นที่รุนแรงจนทำให้ทีมเสียเปรียบ เริ่มมีเสียงต่อต้านจากแฟนบอล จนกลายเป็นความตึงเครียดของทีม สุดท้ายในเดือนมกราคม 2014 ดาวิดส์ ก็ตัดสินใจอำลาทีมด้วยความยินยอมพร้อมกันทั้งสองฝ่าย ปิดฉากชีวิตที่ บาร์เน็ต ไว้เพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
บาร์เน็ต ที่ไม่มี ดาวิดส์ ก็ดีวันดีคืน เพราะหลังจากได้ มาร์ติน อัลเลน เข้ามาในเดือนมีนาคม พวกเขาก็ขยับขึ้นไปอยู่โซนบนของตาราง ก่อนจะจบด้วยอันดับ 8 มีแต้มห่างจากโซนเพลย์ออฟ เลื่อนชั้นแค่เพียง 7 คะแนน
ส่วน ดาวิดส์ อันที่จริงเขาเกือบจะได้ค้าแข้งกับสโมสรนอกลีกต่อไป หลัง กรีนนิชโบโรห์ อยากได้ไปร่วมทีม แต่สุดท้ายดีลนั้น ก็ไม่เคยเกิดขึ้น ก่อนที่ชื่อของเขาจะจางหายไปจากสารบบฟุตบอล แม้จะมีชื่อกลับมาคุมทีมในลีกล่างโปรตุเกส ช่วงสั้นๆ ในปี 2021 ก็ตาม